ในช่วงเวลาที่อุตสาหกรรมหลายแห่งต้องเผชิญกับความท้าทายและความผันผวน, อุตสาหกรรมเพลงไทยกลับกลายเป็น “hidden gem” ที่กำลังเติบโตอย่างน่าสนใจ โดยเฉพาะจากการสนับสนุนของเทศกาลดนตรีที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย เช่น “Big Mountain Music Festival” ซึ่งไม่เพียงแต่สร้างโอกาสให้ศิลปินไทยแสดงความสามารถ แต่ยังเป็นเวทีสำคัญในการเปิดตลาดใหม่ทั้งในประเทศและต่างประเทศ
การเติบโตของอุตสาหกรรมเพลงไทยในช่วงหลายปีที่ผ่านมา สามารถเห็นได้จากการขยายตัวของศิลปินไทยที่มีโอกาสไปแสดงผลงานในต่างประเทศ และได้รับการสนับสนุนจากแฟนเพลงต่างชาติ จนทำให้ประเทศไทยกลายเป็นหนึ่งใน TOP 5 ประเทศที่มีรายได้จากอุตสาหกรรมเพลงมากที่สุดในเอเชีย และอันดับ 1 ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เทศกาลดนตรีใหญ่อย่าง Big Mountain Music Festival ซึ่งจัดขึ้นโดย GMM SHOW เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ช่วยผลักดันการเติบโตนี้ โดยเน้นการสร้างพื้นที่ให้กับศิลปินจากหลากหลายแนวเพลงทั้งจากค่ายใหญ่และค่ายเล็ก, การร่วมมือกับศิลปินต่างชาติ และการสร้างประสบการณ์ที่ยิ่งใหญ่ในระดับสากล ซึ่งสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ของโครงการ Music Exchange ที่มีเป้าหมายส่งเสริมอุตสาหกรรมเพลงไทยให้เป็นซอฟต์พาวเวอร์
การเติบโตของตลาดเพลงยังได้รับผลดีจากการขยายตัวของ Music Streaming ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันการเติบโตของดิจิทัลสตรีมมิ่งทำให้รายได้จากช่องทางนี้มีสัดส่วนสูงถึง 80% ของตลาดเพลงทั่วโลก ขณะเดียวกัน, สถิติจากปี 2566 แสดงให้เห็นว่าอุตสาหกรรมเพลงทั่วโลกเติบโตขึ้น 10.2% โดยคาดการณ์ว่าตลาดเพลงในปี 2573 จะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นถึงสามเท่า
GMM Music ซึ่งมีการสะสมและพัฒนาทรัพย์สินทางดนตรีในประเทศไทยกว่า 40 ปี, ยังคงเป็นผู้เล่นสำคัญในการผลักดันอุตสาหกรรมนี้ ด้วยการสร้างรายได้จากการบริหารจัดการเพลงผ่านทั้ง Video และ Audio Music Streaming ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่ช่วยให้รายได้จากเพลงยังคงไหลเวียนอย่างต่อเนื่อง แม้ไม่ต้องลงทุนในการผลิตเนื้อหาต่างๆ ใหม่
ดังนั้น การเติบโตของอุตสาหกรรมเพลงในประเทศไทย ไม่เพียงแต่สร้างโอกาสให้กับศิลปินไทยเท่านั้น แต่ยังเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจสร้างสรรค์และขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่การเป็นศูนย์กลางทางดนตรีในภูมิภาคเอเชีย.