เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2568 ที่กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผบช.สอท. ได้แถลงข่าวเกี่ยวกับการสอบปากคำผู้ต้องหาจากขบวนการคอลเซ็นเตอร์จำนวน 93 คน โดยผู้ต้องหาทั้งหมดได้ถูกจับตามหมายจับจากคดีต่างๆ ซึ่งมีการหลอกลวงประชาชนและทำความเสียหายหลายสิบล้านบาท
จากการสอบสวนพบว่าผู้ต้องหาส่วนใหญ่เป็นพนักงานระดับล่างในขบวนการนี้ โดยบางคนสมัครใจเข้ามาทำงานในสายอาชญากรรม และได้ให้การร่วมมือในการสอบสวน ซึ่งรวมถึงล่ามที่ทำหน้าที่สื่อสารกับบอสชาวจีนที่เป็นผู้บงการอยู่เบื้องหลัง โดยมีการหลอกลวงในหลากหลายรูปแบบ เช่น การปลอมแปลงเป็นเจ้าหน้าที่ของกรมบัญชีกลางเพื่อหลอกเอาเงินบำนาญจากผู้เกษียณอายุราชการ หรือการหลอกเป็นเจ้าหน้าที่ไฟฟ้าเพื่อชักชวนให้เหยื่อดาวน์โหลดแอปพลิเคชันที่สามารถดูดเงินจากบัญชีธนาคารของผู้เสียหายได้
นอกจากนี้ การสอบสวนยังพบว่าขบวนการคอลเซ็นเตอร์นี้มีการเชื่อมโยงกับคดีหลอกลวงในไทยถึง 46 คดี โดยมีมูลค่าความเสียหายหลายสิบล้านบาท ซึ่งได้ถูกแจ้งความจากผู้เสียหายในระบบไทยโปลิสออนไลน์ ขณะเดียวกันยังมีการตรวจสอบข้อมูลจากทางการกัมพูชาและการสืบสวนของตำรวจภูธรภาค 2 ที่ช่วยให้สามารถจับกุมผู้ต้องหามาได้จำนวนมาก

พล.ต.ท.ไตรรงค์กล่าวว่า “ในระหว่างการจับกุมพบว่ามีผู้ต้องหาบางรายโพสต์ในโซเชียลมีเดียว่าต้องการหางานในสายเทา และพบว่าพวกเขามีการเข้าออกประเทศกัมพูชาหลายสิบครั้ง ซึ่งทั้งหมดจะถูกดำเนินคดีในข้อหาหลัก เช่น การมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ, การเป็นอั้งยี่ซ่องโจร, และการฉ้อโกงประชาชน”
ตำรวจจะดำเนินการฝากขังผู้ต้องหาทั้งหมดในวันที่ 5 มีนาคม 2568 ที่ศาลอาญา และการสืบสวนจะยังคงดำเนินต่อไปเพื่อหาข้อมูลที่เชื่อมโยงกับการดำเนินการของบอสชาวจีนและกลุ่มทุนสีเทาในประเทศไทย.
การจับกุมครั้งนี้เป็นการป้องกันและปราบปรามขบวนการคอลเซ็นเตอร์ที่มีลักษณะเป็นอาชญากรรมข้ามชาติ ซึ่งสร้างความเสียหายให้กับประชาชนในหลายพื้นที่.