วันที่ 26 มกราคม 2568 – นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงความคืบหน้าการเจรจาความตกลงการค้าเสรี (FTA) ระหว่างไทยและสหภาพยุโรป (EU) หลังจากได้รับคำสั่งจาก น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้ผลักดันการเจรจาให้แล้วเสร็จภายในสิ้นปี 2568 โดยตั้งเป้าขยายตลาดสินค้าไทยในยุโรปและเพิ่มศักยภาพการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ
นายพิชัยระบุว่า ความสำเร็จล่าสุดในการลงนาม FTA ไทย-เอฟตา (EFTA) ซึ่งครอบคลุม 4 ประเทศ ได้แก่ สวิตเซอร์แลนด์ นอร์เวย์ ไอซ์แลนด์ และลิกเตนสไตน์ เมื่อวันที่ 23 มกราคมที่ผ่านมา ในการประชุม World Economic Forum (WEF) 2025 ที่เมืองดาวอส ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ถือเป็นหมุดหมายสำคัญที่ปูทางสู่การเจรจากับสหภาพยุโรป
นายพิชัยยอมรับว่า การเจรจากับ EU ซึ่งมีสมาชิกถึง 27 ประเทศ มีความซับซ้อนและใช้เวลา แต่ทีมกระทรวงพาณิชย์ได้เริ่มดำเนินการทันที โดยมีแผนเดินทางไปกรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม ในเร็ว ๆ นี้ เพื่อหารือกับกรรมาธิการยุโรปด้านการค้า นาย Maroš Šefčovič และผลักดันให้การเจรจาสำเร็จลุล่วง

“FTA ไทย-อียู หากสำเร็จจะช่วยสร้างแต้มต่อทางการค้า ขยายตลาดสินค้าไทยในยุโรป และยกระดับศักยภาพเศรษฐกิจไทยให้แข่งขันในเวทีโลกได้อย่างมั่นคง” นายพิชัยกล่าว
นอกเหนือจาก FTA ไทย-อียู ไทยยังตั้งเป้าปิดดีลความตกลงการค้าเสรีฉบับใหม่กับประเทศและกลุ่มประเทศอื่น ๆ ได้แก่ อาเซียน-แคนาดา, ไทย-UAE, ไทย-เกาหลีใต้ และไทย-ภูฏาน หากสำเร็จ ไทยจะมี FTA ครอบคลุม 53 ประเทศ จากปัจจุบันที่มี 16 ฉบับ ครอบคลุม 23 ประเทศ
นายพิชัยย้ำว่า การเพิ่มจำนวน FTA จะช่วยกระจายความเสี่ยงทางการค้า ขยายโอกาสส่งออกสินค้า และดึงดูดการลงทุนในอุตสาหกรรมที่สอดคล้องกับการพัฒนาประเทศในอนาคต
ความสำเร็จของ FTA ไทย-เอฟตา ถือเป็นจุดเริ่มต้นในการสร้างความเชื่อมั่นจากกลุ่มประเทศยุโรปที่มีมาตรฐานสูง ซึ่งช่วยเปิดประตูสู่การเจรจา FTA กับ EU โดยตรง และสร้างภาพลักษณ์ของไทยในฐานะศูนย์กลางการค้าระหว่างประเทศ
“การผลักดัน FTA ไทย-อียู และการขยายความตกลงการค้าเสรีอื่น ๆ จะช่วยให้ไทยสามารถยืนหยัดในเวทีการค้าโลก และสร้างความยั่งยืนทางเศรษฐกิจให้กับประเทศ” นายพิชัยกล่าวสรุป.