วอชิงตัน ดี.ซี. – รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของ ประธานาธิบดีโจ ไบเดน อนุมัติแผน ขายอาวุธมูลค่า 8 พันล้านดอลลาร์ ให้แก่อิสราเอล โดยมีรายงานว่านี่อาจเป็นการขายอาวุธครั้งสุดท้ายของรัฐบาลไบเดน ก่อนที่ โดนัลด์ ทรัมป์ จะเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีในวันที่ 20 มกราคมนี้
สำนักข่าวบีบีซี รายงานว่า กระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ ได้แจ้งต่อสภาคองเกรสเกี่ยวกับข้อตกลงนี้แล้วเมื่อวันที่ 4 มกราคม 2568 ซึ่งเกิดขึ้นเพียง 15 วันก่อนที่ไบเดนจะพ้นจากตำแหน่ง โดยแหล่งข่าวรัฐบาลสหรัฐฯ ระบุว่า อาวุธที่อยู่ในข้อตกลงประกอบด้วย
• ขีปนาวุธอากาศสู่อากาศ
• ขีปนาวุธเฮลไฟร์ (Hellfire)
• ลูกปืนใหญ่และระเบิดหลากหลายชนิด
ทั้งนี้ การขายอาวุธของสหรัฐฯ จะต้องได้รับการอนุมัติจากทั้งสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา ก่อนที่จะสามารถดำเนินการได้
รัฐบาลสหรัฐฯ เผชิญแรงกดดันจากนานาชาติและกลุ่มสิทธิมนุษยชน ให้ยุติการสนับสนุนทางทหารแก่อิสราเอล หลังจากสงครามในฉนวนกาซาทำให้มี ผู้เสียชีวิตมากกว่า 45,600 ราย อย่างไรก็ตาม ไบเดนย้ำว่า อิสราเอลมีสิทธิ์ปกป้องตนเองตามกฎหมายระหว่างประเทศ และสหรัฐฯ จะยังคงให้การสนับสนุน
ก่อนหน้านี้ ในเดือนพฤษภาคม 2567 ไบเดนเคยระงับการส่งระเบิดขนาด 500 และ 2,000 ปอนด์ให้อิสราเอล เนื่องจากกังวลว่ากองทัพอิสราเอลอาจบุกโจมตีเมืองราฟาห์ในฉนวนกาซา แต่การตัดสินใจดังกล่าวทำให้ไบเดนเผชิญแรงกดดันจาก พรรครีพับลิกันและรัฐบาลอิสราเอล จนต้องยกเลิกคำสั่งบางส่วนในภายหลัง
การอนุมัติขายอาวุธครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงสุดท้ายของรัฐบาลไบเดน ขณะที่ โดนัลด์ ทรัมป์ เตรียมเข้ารับตำแหน่งในวันที่ 20 มกราคม ซึ่งสร้างความกังวลว่าท่าทีของสหรัฐฯ ต่อสงครามในตะวันออกกลางอาจเปลี่ยนแปลง
ทรัมป์เคยประกาศจุดยืนว่า ต้องการลดการมีส่วนร่วมของสหรัฐฯ ในความขัดแย้งระหว่างประเทศ และเรียกร้องให้สงครามต่างๆ ยุติลง อย่างไรก็ตาม ยังไม่ชัดเจนว่าเขาจะดำเนินนโยบายอย่างไรต่ออิสราเอล ซึ่งเป็นพันธมิตรหลักของสหรัฐฯ
ข้อตกลงขายอาวุธ 8 พันล้านดอลลาร์ครั้งนี้จึงอาจเป็น “ดีลสุดท้ายของไบเดน” และเป็นการส่งเสริมอิสราเอลก่อนที่ผู้นำสหรัฐฯ คนใหม่จะกำหนดแนวทางของตนเอง.
