วันที่ 12 มีนาคม 2568 – นายรณณรงค์ แก้วเพ็ชร ประธานมูลนิธิรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคม พร้อมด้วย นางเอ (นามสมมติ) อายุ 52 ปี และ น.ส.บี (นามสมมติ) อายุ 32 ปี ซึ่งเป็นแม่และพี่สาวของนายซี (นามสมมติ) อายุ 30 ปี นักโทษชายในเรือนจำกลางเขาบิน จ.ราชบุรี ได้เดินทางเข้ายื่นหนังสือร้องเรียนต่อ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เพื่อขอให้ตรวจสอบกรณีการทำร้ายร่างกายของผู้คุมภายในเรือนจำที่ทำให้ลูกชายของตนได้รับบาดเจ็บสาหัส เกรงว่าจะไม่ได้รับความเป็นธรรมและความปลอดภัยในขณะที่ยังอยู่ในเรือนจำ
นายรณณรงค์กล่าวว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากที่ลูกชายของเขาซึ่งถูกพิพากษาโทษในคดียาเสพติด และรับโทษจำคุก 35 ปี ได้ติดต่อกลับมายังครอบครัวและแจ้งว่าเขาถูกผู้คุมทำร้ายร่างกายอย่างรุนแรง ซึ่งเกรงว่าจะเสี่ยงต่อการสูญเสียชีวิตหรือได้รับการกระทำที่ทารุณเกินกว่าที่จะรับได้ โดยเฉพาะในช่วงที่ข่าวการเสียชีวิตของ อดีต ผกก.โจ้ ซึ่งเสียชีวิตในเรือนจำเพราะเหตุการณ์คล้ายคลึงกัน ทำให้ตนรู้สึกวิตกกังวลถึงความปลอดภัยของลูกชายมากยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ แม้ผู้ต้องขังจะกระทำความผิดตามกฎหมาย แต่การทำร้ายร่างกายหรือการกระทำทารุณในลักษณะนี้เป็นสิ่งที่ไม่สามารถยอมรับได้ และตนเชื่อว่าเหตุการณ์นี้ต้องได้รับการตรวจสอบจากหน่วยงานที่มีความสามารถ เพื่อให้ความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย
นางเอ (แม่ของผู้ต้องขัง) เปิดเผยว่า ลูกชายของเธอได้บอกเล่าเหตุการณ์ว่าเขาถูกทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรง เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2567 โดยระบุว่าในเรือนจำมีการทะเลาะวิวาทระหว่างกลุ่มผู้ต้องขังจากบ้านภาคกลางและบ้านภาคใต้ ซึ่งทำให้เกิดเหตุการณ์จราจล และผู้คุมต้องเข้ามาแทรกแซง โดยใช้วิธีการทำร้ายผู้ต้องขังเกินกว่าความจำเป็น เช่น การตีด้วยไม้กระบองและกระทืบด้วยรองเท้าคอมแบท รวมทั้งใช้สายเคเบิ้ลไทร์รัดมือไขว้หลัง บังคับให้ผู้ต้องขังนอนคว่ำและคลานไปบนพื้นในท่าที่ดูเหมือนการทรมาน
นางเอกล่าวต่อว่า ลูกชายของเธอไม่สามารถเปิดเผยร่องรอยบาดแผลในระหว่างการเยี่ยมเนื่องจากกระบวนการเยี่ยมผ่านวิดีโอคอนเฟอร์เรนซ์ที่มีข้อจำกัด และเธอยังได้ให้ข้อมูลว่าเมื่อมีการร้องเรียนไปยังเรือนจำก็ไม่ได้รับการตอบสนองอย่างจริงจัง ทำให้รู้สึกกังวลถึงความปลอดภัยของลูกชายในสถานการณ์เช่นนี้
นายรณณรงค์ กล่าวว่า การทำร้ายร่างกายดังกล่าวไม่ได้เป็นการลงโทษที่สมควรแก่เหตุ หากมีการกระทำเกินกว่าเหตุเช่นนี้ก็ถือเป็นการทารุณกรรม ซึ่งขอให้ กรมสอบสวนคดีพิเศษ เข้ามาตรวจสอบอย่างโปร่งใสตามกฎหมาย เพื่อให้ทุกฝ่ายได้ข้อมูลที่ชัดเจนและเกิดความเป็นธรรม
ในขณะเดียวกัน ทางครอบครัวก็ยอมรับว่าลูกชายกระทำผิด แต่การกระทำทารุณที่เกิดขึ้นในเรือนจำนี้เกินขอบเขตของการลงโทษที่ควรจะเป็น จึงเรียกร้องให้มีการสอบสวนอย่างเป็นธรรม และหากพบว่ามีความผิดพลาดหรือการกระทำที่ผิดกฎหมายเกิดขึ้นจริง ก็อยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาตรวจสอบและดำเนินการตามขั้นตอนเพื่อป้องกันไม่ให้เหตุการณ์ลักษณะนี้เกิดขึ้นกับผู้ต้องขังคนอื่นในอนาคต.
นางเอ ยังกล่าวว่าเธอกังวลเรื่องความปลอดภัยของลูกชาย เพราะหลังจากที่ลูกชายได้รับการทำร้ายเขาซูบผอมลงอย่างเห็นได้ชัดและถูกลดปริมาณอาหาร แม้ว่าตอนนี้ลูกชายของเธอจะถูกงดเยี่ยมไปเป็นระยะเวลา 3 เดือน เนื่องจากการผิดวินัยในเรือนจำก็ตาม.
สุดท้าย, ทางครอบครัวหวังว่าคดีนี้จะได้รับการตรวจสอบอย่างจริงจังและโปร่งใส เพื่อความยุติธรรมทั้งแก่ผู้ต้องขังและสังคม.