เรื่องราวของชาล็อต ออสติน ที่ถูกมิจฉาชีพหลอกโอนเงินจำนวน 4 ล้านบาท ได้เปิดเผยในการแถลงข่าวร่วมกับ ณวัฒน์ อิสรไกรศีล ซึ่งชี้ให้เห็นถึงความซับซ้อนและวิธีการหลอกลวงของมิจฉาชีพที่ใช้เทคโนโลยีทันสมัยเพื่อข่มขู่และหลอกลวงเหยื่อให้โอนเงิน
จากการแถลงข่าว ชาล็อตเล่าว่าได้รับโทรศัพท์จากหมายเลขแปลกที่แจ้งว่าเธอมีส่วนเกี่ยวข้องกับการฟอกเงินในคดีของนายศรัทธา ซึ่งมิจฉาชีพบอกว่าชาล็อตขายบัญชีให้และได้รับเงินเดือนละ 8 แสนบาท มิจฉาชีพบังคับให้ชาล็อตยืนยันการบริสุทธิ์ด้วยการคุยผ่านวิดีโอคอลและขอข้อมูลส่วนตัว โดยหลอกว่าเป็นการตรวจสอบหลักฐานเพื่อฟ้องนายศรัทธา
ในระหว่างการสื่อสารผ่านวิดีโอคอล มิจฉาชีพได้ข่มขู่และบังคับให้ชาล็อตโอนเงินโดยอ้างว่าจะคืนเงินภายใน 15-30 นาทีหลังจากตรวจสอบ แม้ชาล็อตจะรู้สึกกลัวและแพนิกแต่ก็ยอมโอนเงินไปหลายครั้ง รวมเป็นเงิน 4 ล้านบาท
ชาล็อตบอกว่าเธอไม่เคยคิดว่าจะโดนหลอก เพราะเอกสารและข้อมูลที่มิจฉาชีพส่งมาในระหว่างการคุยดูเหมือนจะถูกต้องตามหลักราชการ จึงทำให้เธอเชื่อว่ามันเป็นเรื่องจริง อย่างไรก็ตาม เมื่อรู้ตัวว่าโดนหลอก เธอได้รีบโทรหาธนาคารและแจ้งความที่สถานีตำรวจ แต่พบว่าเงินได้หายไปแล้ว
ณวัฒน์ อิสรไกรศีล ที่อยู่ข้างๆ ชาล็อตในขณะนั้นได้กล่าวว่า เหตุการณ์นี้เป็นบทเรียนที่สำคัญสำหรับทุกคน โดยเขาเน้นย้ำว่าการหลอกลวงในลักษณะนี้เป็นการกระทำที่มิจฉาชีพใช้เทคโนโลยีและความกลัวเข้ามาบีบบังคับเหยื่อ และขอให้ผู้คนระมัดระวังในการรับสายหรือโอนเงินในลักษณะนี้
ณวัฒน์ยังกล่าวอีกว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ทำงานผ่านระบบออนไลน์แบบนี้ ดังนั้นหากมีใครที่ได้รับการติดต่อในลักษณะเดียวกัน ควรที่จะยับยั้งชั่งใจและไม่หลงเชื่อ ขณะเดียวกันก็ขอให้มีกฎหมายที่เข้มงวดกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เพื่อไม่ให้มีเหยื่อรายอื่นตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพแบบนี้.
