วันที่ 10 ธันวาคม 2567 นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงข้อควรรู้เกี่ยวกับการนวดไทย โดยกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ระบุว่า การนวดไทยเป็นกระบวนการดูแลสุขภาพที่ต้องมีความรู้ในหลักการนวดตามแนวเส้นประธานสิบ ซึ่งช่วยบรรเทาอาการปวดเมื่อยและทำให้กล้ามเนื้อผ่อนคลาย การนวดไทยแบ่งออกเป็นสองประเภทหลัก ได้แก่
- การนวดเพื่อผ่อนคลายหรือนวดเพื่อสุขภาพ ซึ่งใช้หลักสูตรนวด 150 ชั่วโมง เพื่อบรรเทาอาการปวดเมื่อยและผ่อนคลายกล้ามเนื้อ โดยการนวดในลักษณะนี้จะไม่ทำการบิดหรือดัด
- การนวดเพื่อการรักษา ซึ่งใช้หลักสูตรที่มีระยะเวลาตั้งแต่ 330 ชั่วโมงถึง 1,300 ชั่วโมง เพื่อบำบัดรักษาอาการต่าง ๆ เช่น ปวดกล้ามเนื้อ นิ้วล็อก หัวไหล่ติด และอาการอื่น ๆ
สำหรับผู้ให้บริการการนวดไทยมีสามประเภท:
- หมอนวดเพื่อสุขภาพ เรียน 150 ชั่วโมงภายใต้การกำกับของกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) ซึ่งจะทำงานในสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ ร้านนวด และสปา
- ผู้ช่วยแพทย์แผนไทย เรียนตั้งแต่ 330 ชั่วโมงถึง 1,300 ชั่วโมงภายใต้การกำกับของสภาการแพทย์แผนไทย ปฏิบัติงานในโรงพยาบาลและคลินิก
- แพทย์แผนไทย/แพทย์แผนไทยประยุกต์ ที่มีใบประกอบวิชาชีพจากสภาการแพทย์แผนไทย ปฏิบัติงานในโรงพยาบาลและคลินิก
ข้อห้ามในการนวด ได้แก่
- ห้ามนวดบริเวณที่เป็นมะเร็ง
- ห้ามนวดในผู้ที่มีไข้สูงเกิน 38.5 องศาเซลเซียส
- ห้ามนวดในบริเวณที่มีอาการอักเสบ บวม แดง หรือร้อน
- ห้ามนวดในผู้ที่มีภาวะการแข็งตัวของเลือดผิดปกติ
- ห้ามนวดในกรณีกระดูกแตกหรือหักที่ยังไม่หายดี
- ห้ามนวดในผู้ที่มีโรคติดเชื้อทางผิวหนังทุกชนิด
ข้อควรระวัง ได้แก่
- สตรีมีครรภ์
- ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง
- ผู้ที่ใส่อวัยวะเทียมหลังการผ่าตัดกระดูก
- ผู้ที่มีภาวะกระดูกพรุน
- ผู้ที่เพิ่งทานอาหารอิ่มใหม่ ๆ (ไม่เกิน 30 นาที)
หากท่านต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการนวดไทย สามารถสอบถามได้ที่โรงพยาบาลของรัฐ หรือผ่านช่องทางออนไลน์เช่น FACEBOOK Line@ กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก หรือโทร 02 149 5678 ในเวลาราชการ.