วันที่ 29 มีนาคม 2568 – จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวขนาด 8.2 ริกเตอร์ ที่เกิดขึ้นในประเทศเมียนมา เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 ส่งผลกระทบแรงสั่นสะเทือนถึงประเทศไทย โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพฯ ที่ทำให้เกิดการเสียหายของอาคารสูงและตึกต่างๆ โดยเฉพาะเหตุการณ์การถล่มของอาคาร 30 ชั้นในเขตจตุจักร ที่มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก.
อาฟเตอร์ช็อก หลังจากเกิดแผ่นดินไหวในครั้งนี้ ได้รับรายงานจาก นายสมควร ต้นจาน ผู้อำนวยการกองพยากรณ์อากาศและรองโฆษกกรมอุตุนิยมวิทยา ที่เปิดเผยถึงสถานการณ์ อาฟเตอร์ช็อก ในช่วงวันที่ 29 มีนาคม 2568 โดยกล่าวว่า ขณะนี้พบว่าได้เกิด อาฟเตอร์ช็อก กว่า 100 ครั้ง แต่แรงสั่นสะเทือนเริ่มเบาลงจากเดิมที่มีความรุนแรงขนาด 5-6 แมกนิจูด (magnitude) มาอยู่ที่ประมาณ 1.0-1.2 แมกนิจูด และความถี่ของการสั่นสะเทือนก็เริ่มลดลงเหลือ 2-3 ครั้งต่อนาทีจากช่วงแรกที่มีการสั่นสะเทือนเฉลี่ย 12 ครั้งต่อนาที.
กรมอุตุนิยมวิทยาคาดว่าแรงสั่นสะเทือนจะค่อยๆ เบาลงและมีความถี่ที่ต่ำลงต่อไป โดยอาฟเตอร์ช็อกจะยังคงเกิดขึ้นในระยะเวลาประมาณ 1-2 สัปดาห์ ซึ่งเป็นช่วงที่การสั่นสะเทือนจะลดความรุนแรงลงจนกลับสู่ภาวะปกติ.
อย่างไรก็ตาม นายสมควร ยังเตือนว่าในช่วงนี้สิ่งปลูกสร้างต่างๆ โดยเฉพาะอาคารสูงหลังจากแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ อาจมีการพังหรือร่วงหล่นจากที่สูงได้ เช่น เศษวัสดุต่างๆ เช่น หลังคา เศษไม้ หรือแม้กระทั่งชายคาของตัวอาคาร จึงต้องมีการตรวจสอบสถานการณ์ในพื้นที่ที่เกิดความเสียหายอย่างละเอียด.
ในส่วนของอาคารสูง 30 ชั้นขึ้นไป กรมอุตุนิยมวิทยาขอแนะนำให้มีการตรวจสอบโครงสร้างอย่างละเอียด โดยเฉพาะหากพบรอยร้าวที่อาจเกิดจากแรงสั่นสะเทือนในช่วงที่ผ่านมา เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายเพิ่มเติม ส่วนที่พักอาศัยที่มีความสูง 1-2 ชั้นทั่วไปนั้น ไม่น่ามีความเสี่ยงต่อความเสียหายจากการสั่นสะเทือนในช่วงนี้.
สำหรับการสำรวจและตรวจสอบสิ่งปลูกสร้าง เจดีย์ตามวัดต่างๆ ก็ถือเป็นพื้นที่ที่ต้องเฝ้าระวัง เนื่องจากแรงสั่นสะเทือนอาจทำให้เกิดรอยร้าวและเสียหายได้ง่าย หากยังมีการสั่นสะเทือนอย่างต่อเนื่อง.
นายสมควร ยังย้ำว่า แม้ว่าอาฟเตอร์ช็อกจะเริ่มเบาลง แต่หากมีการเกิดแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ในอนาคต อาจทำให้เกิดความเสียหายรุนแรงได้ หากสิ่งปลูกสร้างไม่ได้มาตรฐานหรือได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งนี้.